ดื่มด่ำอาหารไทยที่ ‘พระยา พาลาซโซ’ กับเซต ‘รัตนโกสินทร์’…สุดอิ่มเอมใจ

เรื่องราวของ อาหารไทย อร่อย ระดับพรีเมียม ที่มักถูกอ้างถึงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 จนถึงรัชกาลที่ 5 กลายมาเป็น เซตอาหารไทย ชื่อ "รัตนโกสินทร์"...รังสรรค์เมนูโดย เชฟโจ- ภัทร์นิธิ ตั้งพีรพัฒน์ ที่ ห้องอาหารพระยา ไดนิ่ง ภายใน โรงแรมพระยา พาลาซโซ่ ทำให้เพื่อนร่วมโต๊ะที่เพิ่งเคยได้ชิมครั้งแรกถึงกับร้องว๊าวๆๆ ไม่หยุดเลย

เชฟโจ เล่าว่า “ผมครีเอทอาหาร เซตรัตนโกสินทร์ ขึ้นมาโดยรวบรวมอาหารทั้งสมัยรัชกาลที่ 2 จนถึงรัชกาลที่ 5 เอาไว้ในสำรับ มีทั้งเมนูโบราณ จนถึงสมัยใหม่ ที่นำวัฒนธรรมของต่างชาติเข้ามา เริ่มจากเมนู Amouse Bouche อาหารเปิดต่อมรับรส มีทั้งหมด 3 คำอยู่ในจาน คือ กระทงทองหลนปู, กุ้งย่างซอสมะขาม และเมี่ยงส้มโอ วิธีรับประทาน จะเริ่มจากหลนปูก่อน แล้วต่อด้วยกุ้งย่างซอสมะขาม ตบท้ายด้วยเมี่ยงส้มโอ รสชาติจะเริ่มจี๊ดขึ้น....”
เชฟโจ อธิบายถึงสำรับ อาหารไทย ที่เขารังสรรค์ขึ้นในเซตรัตนโกสินทร์ ว่าเขาจะเสิร์ฟ เมนูอาหารเรียกน้ำย่อย 3 คำ เสิร์ฟในจานเดียวกัน

เริ่มจาก ยำผักบ้านปลาข้าวสาร บอกเลยว่าจานนี้จัดจ้านในย่านฝั่งธนบุรีสุดๆ ตามมาด้วย หมูย่างใบชะพลู และไก่สมุนไพร ปั้นเป็นก้อนกลมๆ รับประทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่ว

เชฟโจ’ นำเนื้อไก่ปั่นร่วมกับสมุนไพรต่างๆ อาทิ ตะไคร้ หอมแดง ใบมะกรูด สามเกลอ (กระเทียม พริกไทย รากผักชี) ปรุงรส แล้วปั้นออกมาเป็นทรงกลม คลุกกับเกล็ดขนมปัง ทอดจนสุก เสิร์ฟมาหน้าตาเหมือนอาหารฝรั่ง ทว่าพอกัดเข้าไปแล้วรับรสชาติของ ‘อาหารไทย’ เต็มร้อย
รัตนโกสินทร์ จานถัดไป ก็จะเป็น ‘ซุป’ ซึ่งรสละมุนสุดๆ ไม่น่าเชื่อว่าผลไม้ที่สอดไส้หมูสับจะเข้ากันได้ดีขนาดนี้ นั่นก็คือ…แกงจืดลูกเงาะ 

‘เชฟโจ’ เล่าว่า สมัยนี้ แกงจืดลูกเงาะ จะเป็น วุ้นเส้นกับหมูสับ แต่ เชฟโจ นำหมูสับกับกุ้งสับรวมกัน ปรุงรสด้วยสามเกลือ บีบเข้าไปในลูกเงาะ แล้วเอาไปทำแกงจืด ตบท้ายด้วยใบโหระพา มีกลิ่นอายของความเป็นอาหารไทย

อาหารจานหลักจะจัดสำรับใน 1 จาน เริ่มจากข้าวหอมมะลิ กับข้าวไรซ์เบอรี่ ห่อด้วยใบตอง น่ารักมาก มีแกงคั่วสับปะรดกุ้งแม่น้ำ  และ เนื้อย่างคลุกฝุ่น เป็นเนื้อที่ ‘เชฟโจ’ นำไปย่างจนสุก แล้วนำมาคลุกกับข้าวคั่ว ส่วนจานที่เพื่อนร่วมโต๊ะ ชอบใจสุดๆ คือ หน่อไม้ฝรั่งผัดกับปู 

จากนั้นเรามาปิดท้ายกันด้วยขนมหวาน ข้าวเหนียวลืมผัวเปียกลำไย ซึ่งจะมีความกรุบ เคี้ยวสนุก เมื่อนำมาเปียกกับลำไย เสริมรสชาติให้มีเสน่ห์หน้าค้นหา เสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมกะทิ รับประทานด้วยกันแล้วมีความละมุน เข้ากันสุดๆ
ขนมไข่ปลาโบราณ…เป็นแป้งข้าวเหนียวนวดกับเนื้อลูกตาล ที่มีวิธีทำคล้ายกับบัวลอย แต่ปั้นแป้งออกมาคล้ายลอดช่อง สีเหลืองๆ มาจากเนื้อลูกตาลที่ทำขนมตาลนั่นเอง ซึ่งเชฟนำแป้งดังกล่าวนี้มาปั้นเป็นทรงกลมเล็กๆ ซึ่งเมนูนี้หารับประทานได้ยาก ต้องมาที่นี่เท่านั้น

นอกจากอาหารเซต รัตนโกสินทร์แล้ว อยากให้ลองได้ชิมเมนูที่ได้รางวัลมิชลิน  ก็คือ แสร้งว่ากุ้งปลาดุกฟู และ หมูผัดส้มเสี้ยว เป็นเมนูโบราณที่หารับประทานได้จากที่นี่ที่เดียว เชฟโจ ว่าอย่างนั้น

“เป็นเมนูตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จทางชลมารค ขณะที่อยู่ตรงหน้าวัดส้มเสี้ยวพอดี แล้วก็ได้กลิ่นว่าใครกำลังทำอาหาร ทำไมหอมแบบนี้ ก็เลยให้ข้าหลวงไปหาว่าใครทำเมนูนี้อยู่ ทำไมกลิ่นหอมขนาดนี้

ตามที่ผมอ่านประวัติมานะครับ  เมนูนี้เป็นหมูผัดกับพลิกเหลืองที่ปั่นกับกระเทียม หัวหอม แล้วใส่น้ำส้มซ่า ปกติจะใช้ใบส้มเสี้ยวเป็นส่วนผสม แต่เนื่องด้วยปัจจุบันหายาก จึงใช้ส้มซ่าแทนเพราะมีรสชาติเหมือนกัน
แสร้งว่ากุ้งปลาดุกฟู ประวัติก็คือ ดัดแปลงมานูนี้มาจาก ยำไตปลา สมัยก่อน คนในวังไม่ชินกับกลิ่นไตปลา ก็เลยเอากุ้งไปเผาให้มีกลิ่นหอมไหม้ๆ แล้วโขลก แล้วยำเหมือนกับยำไตปลา ก็เลยเป็นที่มาของคำว่าแสร้งว่ากุ้ง รับประทานกับปลาดุกฟู สองเมนูนี้ เป็นเมนูแนะนำของ มิชลิน 6 ปีซ้อน

ห้องอาหาร พระยา ไดนิ่ง โรงแรมพระยา พาลาซโซ มีอาหาร 3 เซตให้เลือก คือ สำรับพระยา…ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ ของที่นี่มานานแล้ว มีกุ้งโสร่ง ล่าเตียง กระทงทองหมี่กรอบ ตามมาด้วยพล่าเนื้อ ซุป แกงรัญจวน เมนคอร์สก็จะมี ฉู่ฉี่กุ้งแม่น้ำ หมูผัดส้มเสี้ยว ผัดผักนพเก้า ของหวานเป็นบัวลอยลูกตาล กับอินทนิล รวมกัน

ต่อมาเป็น เซตคุณหญิง…ของว่างก็จะมีสีดานอนรัง หมูโสร่ง กุ้งส้มซ่า ตามมาด้วยแสร้งว่ากุ้ง ทว่าเป็นคนละเวอร์ชั่นกับ้ซตรัตนโกสินทร์ ที่ เชฟโจ เป็นคนรังสรรค์ขึ้น มีซุป ต้มจิ๋วเนื้อ จานหลักมี แกงนางลอย ผัดแขนงเนื้อปู ปลากะพงเจี๋ยนน้ำมะขาม

ใครต้องการมาดื่มด่ำอาหารไทย รสชาติดี แถมยังมีบรรยากาศสุดพิเศษ  11.00-21.30 น. จองก่อนล่วงหน้า  

‘พระยา พาลาซโซ’ มาได้โดยทางเรือเท่านั้น เมื่อมาถึงท่าไหนบอก วัดราชา ท่าพระอาทิตย์ ท่าปิ่นเกล้า  
พิกัด : โรงแรมพระยา พาลาซโซ (Praya Palazzo) ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ
เปิดบริการทุกวัน เวลา 11.00-21.00 น. ต้องจองก่อนเท่านั้น 
การเดินทางมาโดยทางเรือเท่านั้น ทางโรงแรมมีเรือออกไปรับที่ 3 ท่า ดังนี้ ท่าวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร , ท่าพระอาทิตย์ และท่าพระปิ่นเกล้า
Tel: 081-402-8118

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เปิดใจ “ไอซ์ ปรีชญา” นิวเวอร์ชั่น! ปลดล็อกภาพนางเอก “เมร่อน” เปลี่ยนชีวิต!!

เมธาวลัย ศรแดง…อาหารไทยต้นตำรับของนักชิม

ภาพจริงในวันนี้....จากแหล่งโสเภณีในละคร "บางกอกคณิกา"